อะสะมะยะ วิมุตโต,
คือ บุคคลผู้พ้นบ่วงมารกิเลสของโลก เป็นสมุจเฉทประหาร
ถึงแล้วซึ่งพระอรหันต์ ๔ ประเภท
- สุขะวิปัสสะโก ได้กระทำกิเลสธรรมทั้งปวงให้
เหือดแห้งไปจากสันดาน
- เดวิชโช ได้กระทำกิเลสธรรมทั้งปวงให้แจ้ง
ด้วยความรู้พิเศษ คือ
* ปุพเพนิวาสานิสติญาณ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
* จุตูปปาตะญาณ ญาณที่ทำให้รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย
* อาสวัคขะยะญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นได้
- ฉะฬะอภิญโญณาณ ได้กระทำกิเลสธรรมทั้งปวงให้แจ้ง
ด้วยความรู้ยิ่ง
* อิทธิวิธิ ญาณที่ทำให้แสดงอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ได้
* ทิพพะโสตญาณ ญาณที่ทำให้ได้หูทิพย์
* เจโตปปะริยะญาณ ญาณที่หยั่งรู้จิตของผู้อื่นได้
* ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
* อาสวักขะยะญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป
- ปฏิสัมภิทัปปัตโต
ได้กระทำกิเลสธรรมทั้งปวงให้แจ้ง พร้อมความรู้
แตกฉานในญาณ คือ
* อัตถะปะฏิสัมภิทาญาณ ญาณหยั่งรู้แลแตกฉานในอรรถธรรม
* ธัมมะปะฏิสัมภิทาญาณ ญาณหยั่งรู้ แลแตกฉานในธรรม
* นิรุตติปะฏิสัมภิทาญาณ ญาณหยั่งรู้และแตฉานในภาษา
* ปฏิภาณปะฏิสัมภิทาญาณ ญาณหยั่งรู้และแตกฉานในปฏิภาณ
กุปปะธัมโม,
คือ บุคคลผู้สำเร็จฌานโลกีย์ ที่กำเริบเสื่อมสลายแลฉิบหาย
ได้ด้วยเหตุ คือ
- จิตมีสันดานบาปอกุศล ประทุษร้ายทำลายล้างในพระพุทธ
ในพระธรรมแลในพระสงฆ์ ก็วิบัติจากฌาน,
- แลรูปบุรุษสัตรีมีความกำหนัด ก็วิบัติจากฌาน,
- ฟังเสียงบุรุษสตรีมีความกำหนัด ก็วิบัติจากฌาน,
- กำหนัดในกลิ่นรสสัมผัส ก็วิบัติจากฌาน,
กะกุปปะธัมโม,
คือ บุคคลผู้สำเร็จฌานโลกีย์ แลมิได้ฉิบหายเสื่อมสลายสูญหาย
ไปด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธัมมารมณ์ มีความแนบแน่นถาวรอันดี
ปะริหานะธัมโม,
คือ บุคคลผู้สำเร็จฌานสมาบัติสูงขึ้นไปแล้ว แลถอยกลับมา
ถึงฌานเบื้องต่ำ ไม่มั่นคงในฌาน จตุตถฌานแล้ว
ก็หายลับกลับได้เพียงปฐมฌานเพียงนี้
อะปะริหานะธัมโม,
คือ บุคคลผู้สำเร็จฌานสมาบัติอันมิเสื่อม ทรงฌานสมาบัติสูงได้แล้ว
แลมิได้เสื่อม มิถอยลงมาฌานเบื้องต่ำ เมื่อได้ปฐมฌานก็ถึงทุติยฌาน
ตติยฌาน จตุตถฌานสืบต่อไป
เจตะนาภัพโพ,
คือ บุคคลผู้ถึงแล้วซึ่งพระโสดา ปฏิบัติให้เจริญถึงกระทำให้เจริญ
ถึงพระสกิทาคา พระอนาคา (สถิตเฉพาะชั้นสุทธาวาส) อันได้เกิดใน
รูปพรหมแล้ว แลมิได้ถอยลงมาเกิดในชั้นเบื้องต่ำ บังเกิดในภพสูง
ขึ้นตลอดไป จนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน
จะกลับบังเกิดในมนุษย์โลกหามิได้
อะนุรักขะนาภัพโพ,
คือ บุคคลสำเร็จแล้วด้วยฌานโลกีย์ แล้วแตกกายเพราะกายดับ
บังเกิดในพรหมโลกเบื้องต่ำ แล้วเพียงพยายามเจริญฌานที่ได้แล้ว
ก็ได้ฌานอันสูงสืบไปพร้อมทั้งเจริญสมถะวิปัสสนากรรมฐาน
จุติจากพรหมโลกเบื้องต่ำแล้ว ก็บังเกิดในพรหมโลูกชึ้ั้นสูงขึ้นไป
จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน ในชั้นพรหมสุทธาวาสนั้นแล
..............................................
(ยังมีต่ออีก)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น