วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

พระสมันตะมหาปัฎฐาน (ตอน ๒)


ปุเรชาตะ  ปัจจะโย,
ธรรมทั้งหลายเหล่าใด  มีอุปการะแก่ธรรมบังเกิดขึ้นก่อนแล้ว
เป็นปัจจัยอันเกิดขึ้นภายหลัง  คือ

          -  จักขุปสาท  บังเกิดก่อน  ย่อมเป็นปัจจัยให้  จักขุวิญญาณเกิด

       
          -  โสตปสาท  บังเกิดก่อน  ย่อมเป็นปัจจัยให้  โสตวิญญาณเกิด
       
          -  ฆานปสาท  บังเกิดก่อน  ย่อเป็นปัจจัยให้  ฆานวิญญาณเกิด
       
          -  ชิวหาปสาท  บังเกิดก่อน  ย่อมเป็นปัจจัยให้  ชิวหาวิญญาณเกิด
       
          -  กายปสาท  บังเกิดก่อน  ย่อมเป็นปัจจัยให้  กายวิญญาณเกิด
       
          -  หทัยวัตถุ  บังเกิดก่อน  ย่อมเป็นปัจจัยให้  มโนธาตุวิญญาณเกิด
             (ปสาทะ  ความเลื่อมใส  ผ่องใส  ชื่นบาน  โปร่งโล่งบาง
             ปราศจากความอึดอัดขุ่นมัว)

ปัจฉาชาตะ  ปัจจะโย,

ธรรมทั้งหลายเหล่าใด  บังเกิดภายหลัง  ย่อมเป็นอุปการะ
แก่ธรรมอันเกิดก่อน  คือ

          -  จักขุวิญญาณ  บังเกิดก่อน  ย่อมเป็นปัจจัยให้  จักขุปสาทเกิด

     
          -  โสตวิญญาณ  บังเกิดก่อน  ย่อมเป็นปัจจัยให้  โสตปสาทเกิด
       
          -  ฆานวิญญาณ  บังเกิดก่อน  ย่อมเป็นปัจจัยให้  ฆานปสาทเกิด
       
          -  ชิวหาวิญญาณ  บังเกิดก่อน  ย่อมเป็นปัจจัยให้  ชิวหาปสาทเกิด
       
          -  กายวิญญาณ  บังเกิดก่อน  ย่อมเป็นปัจจัยให้  กายปสาทเกิด
     
          -  มโนวิญญาณ  บังเกิดก่อน  ย่อมเป็นปัจจัยให้  หทัยวัตถุเกิด

อาเสวะนะ  ปัจจะโย,

ธรรมทั้งหลายเหล่าใด  มีการเสพซึ่งอารมณ์ต่ ๆ กันไป  จิตอันใดเกิดก่อน
ย่อมเป็นปัจจัยให้จิตอันนั้นบังเกิดภายหลัง

          -  ปฐมฌาน  เกิดแล้ว  ด้วยสิ่งใดเป็นอารมณ์  จะเป็นรูป  เสียง

             กลิ่น  รส  สัมผัส  ทุติยฌานจะบังเกิดขึ้น
     
          -  ทุติยฌาน  เกิดขึ้นแล้ว  ตจิยฌานจะบังเกิดขึ้น
       
          -  ตติยฌาน  เกิดขึ้นแล้ว  จตุตถฌานจะบังเกิดขึ้น
     
          -  จตุตถฌาน  เกิดขึ้นแล้ว  อากาสานัญจายตนฌานจะบังเกิดขึ้น
       
          -  อากาสานัญจายตนฌาน  เกิดขึ้นแล้ววิญญานัญจายตน
             ฌานจะบังเกิดขึ้น
     
          -  วิญญาณัญจายตนฌาน  เกิดขึ้นแล้ว  อากิญจัญญายตน
             ฌานจะบังเกิดขึ้น
       
          -  อากิญจัญญายตนฌานะ เกิดขึ้นแล้ว  เนวสัญญานา
             สัญญายตนฌาน  จะบังเกิดขึ้น  ดังนี้

กัมมะ  ปัจจะโย,

ธรรมทั้งหลายเหล่าใด  มีกุศลจิตเป็นปัจจัยให้บังเกิดปฏิสนธิแห่งสัตว์ทั้งปวง
ในกามาวจภพ  แลอรูปาวจรภพ  ฉันใดธรรมอันเป็นอกุศลย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด
ปฏิสนธิในจตุรบาย  นรก  เปรต  อสุรกาย  สัตว์เดรัจฉาน  ฉันนั้น
กรรม  คือ  การกระทำที่เป็นกุศล  อกุศลแลอัพยากฤต  ย่อมจำแนกประเภท
ดังนี้ ว่า

            -  ทิฏฐธัมมะเวทนิยกรรม  กรรมอันบุคคลกระทำแล้ว  ย่อมให้ผลใน

               ชาติปัจจุบันทันใด  มิต้องรอในภพชาติต่อไป,

            -  อุปปัชชเวทนิยกรรม  กรรมอันบุคคลกระทำแล้ว  ย่อมให้ผลใน

               ชาติต่อไปเป็นลำดับจากชาติปัจจุบัน

           -  อปราปรเวทนิยกรรม  กรรมอันบุคคลกระทำแล้ว  ย่อมให้ผล

              ในภพน้อยภพใหญ่  สิบชาติ  ร้อยชาติ  พันชาติ  หมื่นชาติ
              แสนชาติบ้าง  ได้ช่องได้โอกาสเมื่อใดก็ให้ผลเมื่อนั้น
              ดุจนายพรานปล่อยสุนัขไล่เนื้อ  ทันเมื่อไรก็กัดเมื่อนั้นแล

           -  ครุกรรม  กรรมอันบุคคลกระทำแล้วในฝ่ายกุศลฌานสมาบัติ

              ย่อมสำเร็จประโยชน์  กรรมหนักในฝ่ายอกุศลอนันตริยกรรม
              ย่อมมีทุคติเป็นที่ไปฝ่ายเดียว

           -  พหุลกรรม  กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยความเคยชิน  กระทำเนือง ๆ

              ก็ดี  ค่อย  ๆ  มากขึ้นก็ดี  กุศลแลอกุศลย่อมครอบงำเสีย  กรรมฝ่ายไหน
              มีกำลังมากก็ครอบงำฝ่ายนั้น

           -  ยถาสันนกรรม  กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยกุศลแลอกุศล  เมื่อใกล้

              ดับขันธ์ก็ดี  แม้ฝ่ายไหนมีกำลังน้อย  ก็อาจให้ผลก่อนกรรมทั้งปวง  
              (เสมือนโคเฒ่า แต่อยู่ปากคอก อาจจะออกจากคอกก่อน  ทำบาปมาก 
              บุญช่วยก่อนตาย)

           -  กตัตตาปนกรรม  กรรมอันบุคคลกระทำแล้วโดยสักแต่ว่าทำ  กรรมที่

              เป็นกุศลแลอกุศลก็ตาม  มิได้จงใจให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้  ย่อมให้ผล
              ต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่น  เปรียบเสมือนคนบ้ายิงลูกศร  ย่อมไม่มีความหมาย
              จะให้ถูกใคร

           -  ชนกกรรม  กรรมอันบุคคลกระทำแล้ว  ที่เป็นกุศลแลอกุศล  ย่อมเป็น

              ตัวแต่งสัตว์ให้ถือกำเนิดเกิดในภพใหม่  เมื่อสิ้นอัตภาพภพนี้  หรือกรรม
              ปฏิสนธิแห่งสัตว์ทั้งปวง  ตามติดมาสนองในชาติปัจจุบัน

           -  อุปัตถัมภกกรรม  กรรมอันบุคคลกระทำแล้ว  ที่เป็นกุศลแลอกุศล ที่เข้า

              ช่วยสนับสนุนซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม  เสมือนแม่นมเลี้ยงทารกที่เกิด
              จากผู้อื่น  ถ้ากรรมดีก็สนับสนุนให้ดีขึ้น  ถ้ากรรมชั่วซ้ำเติมย่อมเลวลงไป

           -  อุปปัฬกกรรม  กรรมอันบุคคลกระทำแล้ว  ที่เป็นกุศลแลอกุศล  ย่อมบีบ

              คั้นการให้ผลแห่งชนกกรรม  และอุปัตถัมภกกรรมที่ตรงข้าม  ให้แปรเปลี่ยน
              ไป  เป็นกรรมดีก็บีบคั้นให้อ่อนลง  ไม่รับผลเต็มที่  เป็นกรรมชั่วก็กีดกัน
              ให้ทุเลา  ดังนี้

           -  อุปฆาตกรรม  กรรมอันบุคคลกระทำแล้ว  ที่เป็นกุศลแลอกุศล  เข้ามา
              ตัดรอนกรรมที่มีกำลังแรง  เข้าตัดรอนการให้ผลของชนกกรรม  หรือ
             อุปัตถัมกกรรม  เป็นกรรมที่ฆ่าซึ่งกรรมอันอื่น  แล้วแลอุปฆาตกรรมจะให้
             ผลด้วยตนเอง



...................................




       



















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น